การเดินทางไปยังจังหวัดบุรีรัมย์สามารถเดินทางได้หลายวิธีด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นขับรถยนต์ไป นั่งรถไฟ หรือแม้กระทั่งสายการบินก็ยังมีไปลงที่บุรีรัมย์แล้วหากท่านใดไม่ทราบแต่รอบบินมีไม่มากนัก การเดินทางครั้งนี้เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาจะพาท่านนั่งนกยักษ์ไปยังถิ่นภูเขาไฟครับ การเดินทางด้วยเครื่องบิน มีหลายสายการบินด้วยกัน สามารถดูตารางเวลาที่ท่านต้องการได้ตามตารางแต่ละสายการบินครับ เนื่องด้วยตารางบินของทุกสายการบินไม่มีลงในช่วงสายๆเลย มีแต่เช้ามาก และ ช่วงเที่ยงวัน เพื่อไม่ให้ท่านต้องตื่นนอนกันแต่เช้ามืดจึงขอเลือกเที่ยวบินที่ออกในช่วงเที่ยง เราก็จะไปถึงที่ จ.บุรีรัมย์ในช่วงบ่ายนั่นเองครับ
เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เมื่อถึงสนามบินแล้ว ก็ออกเดินทางจากสนามบินบุรีรัมย์ไปยัง อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.บุรีรัมย์ ระยะทางประมาณ 95 กิโลกเมตร ระยะทางอาจจะค่อนข้างไกลไปสักหน่อย แต่เชื่อได้ว่าคุ้มกับระยะทางที่นั่งไป ไม่มีใครที่ไม่รู้จักที่นี่ถ้าพูดถึง ปราสาทพนมรุ้ง ซึ่งตัวปราสาทจะอยู่ในอุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง อ.เฉลิมพระเกียรติ ซึ่งเป็นปราสาทหินสีชมพูที่ตั้งอยู่บนยอดภูเขาไฟที่ดับสนิทแล้ว สร้างในช่วงพุทธศตวรรษที่ 15-18 ท่านสามารถนำรถยนต์ขึ้นไปทางด้านหลังมีถนนตัดขึ้นไปยังด้านหลังของปราสาทด้านบนเขาได้เลย หรือท่านใดชอบเดินก็แนะนำให้จอดรถยนต์ด้านประตูข้างล่าง และเดินชมจากด้านล่างไปยังด้านบนได้ครับ
![]()
บริเวณด้านบนภูเขา ซึ่งเป็นที่ตั้งของปราสาทพนมรุ้ง
สำหรับท่านใดเลือกที่จะเดินขึ้น ขอแนะนำว่าต้องมีความแข็งแรงหน่อยนะครับ เนื่องจากบันไดที่ขึ้นไปสู่ตัวของปราสาทค่อนข้างสูงและชัน หากเป็นผู้สูงอายุแนะนำให้ขับรถขึ้นไปทางด้านหลังของเขา ซึ่งสามารถไปถึงด้านหลังของตัวปราสาทได้เลยครับ
![]()
สะพานนาคด้านล่างที่ทอดตัวยาวมายังปราสาทบนเขา
![]()
รูปแบบของหัวนาคที่ปราสาทพนมรุ้งเป็นรูปแบบเดียวกับที่อยู่ที่นครวัด ประเทศกัมพูชา
เมื่อเดินไปถึงด้านบนซึ่งเป็นที่ตั้งของตัวปราสาทพนมรุ้ง โดยสร้างจากหินทรายสีชมพู ซึ่งก่อนเข้าไปตัวปราสาทจะสามารถสังเกตเห็นหัวบันไดนาคซึ่งถ้าท่านใดเคยไปที่นครวัดประเทศเขมรจะเห็นได้ว่ามีลักษณะที่เหมือนกันซึ่งเป็นศิลปะแบบนครวัด เมื่อเดินผ่านประตูเข้าไปชั้นในของปราสาท ท่านจะพบกับทับหลังที่มีชื่อเสียงมากที่สุด “ทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์” ที่เชื่อว่าถูกโจรกรรมไปยังต่างประเทศ แต่ในที่สุดชาวไทยสามารถนำกลับคืนมาได้
![]()
ทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์
ปราสาทพนมรุ้งจะเกิดปรากฏการณ์อันน่ามหัศจรรย์ขึ้น คือ ปรากฏการณ์พระอาทิตย์ลอด 15 ช่องประตูโดยจะมีพระอาทิตย์ขึ้นเดือนเมษายนและเดือนกันยายน ส่วนพระอาทิตย์ตกจะมีในเดือนมีนาคมและตุลาคม นักท่องเที่ยวส่วนมากจะแห่กันมาดูในช่วงดังกล่าว หลังจากเดินชมบริเวณเขตอุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง ซึ่งก็มีบริเวณที่ค่อนข้างกว้างเลยทีเดียวแล้ว เราจะออกเดินทางไปยังอีกสถานที่สำหรับวันนี้ ซึ่งจะอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากปราสาทพนมรุ้งซึ่งต้องลงเขาไปประมาณ 8 กิโลเมตร ก็จะถึง “ปราสาทเมืองต่ำ” ตั้งอยู่ในเขต อ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์ ก่อนที่ท่านจะเข้าไปถึงตัวปราสาทเมืองต่ำ จะพบกับความงามของแหล่งน้ำขนาดใหญ่ ขอสระจะถูกก่อด้วยศิลาแรงซึ่งบริเวณนี้คือ บารายเมืองต่ำหรือที่ชาวบ้านเรียกว่าทะเลเมืองต่ำ คำว่า ปราสาทเมืองต่ำ ไม่ใช่ชื่อเดิมของปราสาทนี้ แต่เนื่องด้วยเป็นปราสาทที่มีลักษณะติดกับพื้นดินชาวบ้านในบริเวณนี้จึงเรียกตามที่เห็นว่าเป็นปราสาทเมืองต่ำ ศาสนสถานแห่งนี้ถือว่าเป็นปราสาทที่มีความงดงามแห่งหนึ่งในประเทศไทยเลยทีเดียว
หลังจากเดินชมความของปราสาทเมืองต่ำแล้ว ก็คาดว่าจะค่อนข้างเย็นย่ำแล้ว ซึ่งที่นี่มีเวลาปิดคือ 18.00 น.ของทุกวัน เราจะออกเดินทางไปรับประทานอาหารเย็นและพักที่บริเวณ อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ ห่างจากปราสาทเมืองต่ำประมาณ 40 กิโลเมตร เป็นอันจบการเที่ยวปราสาทยุคเก่าของเราในวันนี้
พักผ่อนเต็มพลังทั้งคืน รับประทานอาหารเช้ากันเรียบร้อยแล้ว เราจะเดินทางไปยังภูเขาไฟอีกแห่งหนึ่งซึ่งเป็นปากปล่องภูเขาไฟที่ดับแล้วเช่นกัน “วัดเขาอังคาร” เป็นวัดที่ตั้งอยู่บนยอดภูเขาไฟเมื่อคืนไปบริเวณวัดแล้วเราสามารถมองเห็นปากปล่องภูเขาไฟที่ดับแล้วได้ด้วย และอาจจะต้องตกใจกับความงามที่แปลกตาของสถาปัตยกรรมที่แปลกตาและหลากหลายรูปแบบ ใครที่นำกล้องไปแน่นอนเลยทีเดียวว่าต้องคว้ากล้องถ่ายรูปมาถ่าย
![]()
โบสถ์วัดเขาอังคาร ที่สร้างด้วยสถาปัตยกรรมหลากหลายรูปแบบ
หากท่านใดไปในวันฟ้าเปิด ท้องฟ้าเป็นใจ จะสามารถ่ายภาพออกมาได้สวยงามมาก เนื่องจากสีท้องฟ้ากับสีของโบสถ์ตัดกันมาก หากท่านใดต้องการทำบุญก็สามารถหยอดลงในตู้ทำบุญวัดภายในโบสถ์ได้ และด้านในโบสถ์ยังมีภาพจิตกรรมฝาผังเรื่องราวชาดกและเนื้อความเป็นภาษาอังกฤษอธิบายภาพวาดนี้วาดจากจิตกรชาวพม่าจึงทำให้มีลักษณะที่แตกต่างจากจิตกรรมฝาผนังทั่วไปในประเทศไทย
![]()
ภายในโบสถ์ของวัดเขาอังคาร ที่ประดิษฐานพระประธาน และ จิตกรรมฝาผนังโดยมีคำอธิบายเป็นภาษาอังกฤษ
![]()
สถาปัตยกรรมผสมหลากหลายรูปแบบบนสิ่งก่อนสร้างของวัดเขาอังคาร
ชมความงามอันแปลกตาของวัดเขาพระอังคารแล้ว เราก็จะเดินทางไปยังอีกยอดเขาหนึ่งแต่จะอยู่คนละบริเวณกัน ต้องเดินทางเข้าไปยังตัวเมืองจังหวัดบุรีรัมย์ ประมาณ 80 กิโลเมตร ก่อนที่จะไปเที่ยวกันต่ออย่าลืมรับประทานอาหารกลางวันกันสามารถอาหารรับประทานได้ตามอัธยาศัย แต่มีร้านแนะนำอยู่หนึ่งร้านในตัวเมืองบุรีรัมย์ชื่อว่าร้านบ้านลิลอาหารค่อนข้างอร่อยใช้ได้ครับ หลังจากรับประทานอาหารเป็นที่เรียบร้อยแล้วจะพาท่านไปรู้จักอีก 1 ปากปล่องภูเขาไฟ ซึ่งเป็นเขตของ วนอุทยานเขากระโดง เขากระโดงเป็นภูเขาไฟที่ดับแล้ว 1 ใน 6 ปากปล่องภูเขาไฟที่ดับสนิทของ จ.บุรีรัมย์ ซึ่งก่อนที่นี่มีชื่อว่า “พนมกระดอง” เป็นภาษาเขมร เพราะมีลักษณะคล้ายหลังเต่า ภาษาไทยเรียกว่า “เขากระดอง” และถูกเรียกเพี้ยนมาถึงในปัจจุบันว่า “เขากระโดง” เมื่อมาถึงด้านหน้าเขากระโดงท่านใดที่ต้องการออกกำลังกายหรือต้องการชมทัศนียภาพของสองข้างทางก่อนขึ้นยอดเขา สามารถเดินขึ้นทางบันไดนาค 297 ขั้น หรือสามารถขับรถยนต์ขึ้นไปบนยอดเขาได้เลย
![]()
สะพานขึ้นยอดเขากระโดง
เมื่อขึ้นสู่ยอดเขาแล้ว เราจะพบกับ สะพานแขวนซึ่งเป็นสะพานที่พาดผ่านปากปล่องภูเขาไฟที่ดับแล้ว ท่านสามารถเดินผ่านไปยังอีกฝั่งของปากปล่องภูเขาไฟ และสามารถมองเห็นทัศนียภาพบริเวณปากปล่องภูเขาไฟอีกด้วย ด้านบนยอดเขาเป็นที่ประดิษฐานของพระบรมสารีริกธาตุที่บรรจุอยู่ในองค์พระสุภัทรบพิตรให้ท่านได้สักการะเพื่อความเป็นสิริมงคล
![]()
สะพานแขวนข้ามปากปล่องภูเขาไฟที่ดับแล้ว
![]()
พระสุภัทรบพิตรซึ่งด้านในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
![]()
อ่างเก็บน้ำวุฒิสวัสดิ์ซึ่งมองจากยอดเขากระโดงลงมา
หลังจากได้ชมปราสาทยุคเก่ากันแล้ว เราจะพาทุกท่านไปชมกับปราสาทยุคใหม่ของจังหวัดบุรีรัมย์ซึ่งจังหวัดบุรีรัมย์ได้ชื่อว่าเป็นเมืองปราสาท 2 ยุค ตามเราลงจากเขากระโดงกันเลยครับ ขับจากเขากระโดงไปอีกประมาณ 4 กิโลเมตร ซึ่งเป็นระยะทางที่ใกล้มาก จะพบกับปราสาทสีฟ้าที่มีชื่อว่า Thunder Castle Buriram หรือในภาษาไทยเรียกว่า ปราสาทสายฟ้า สนามฟุตบอลที่สมบูรณ์แบบที่สุดในประเทศไทย และได้การยอมรับจาก FIFA ซึ่งกินเนสบุ๊คว่าเป็นสนามฟุตบอลในระดับฟีฟ่าแห่งเดียวในโลกที่ใช้เวลาก่อสร้างน้อยที่สุดในโลกคือ 256 วัน เมื่อเข้าไปในบริเวณสนามฟุตบอลแล้วให้ความรู้สึกเหมือนอยู่สนามฟุตบอลต่างประเทศเลยก็ว่าได้ ลักษณะภายในที่ได้มาตรฐานไม่ว่าจะเป็นที่นั่งชม สนามหญ้าและโครงสร้างต่างๆ
![]()
ด้านหน้าของ Thunder Castle Buriram
![]()
บรรยกาศภายในสนามฟุตบอล
![]()
บรรยกาศภายในสนามฟุตบอล
เมื่อเดินชม ถ่ายภาพกันเป็นที่ระลึกแล้ว ด้านนอกของสนามก็มีร้านขายของที่ระลึกสำหรับท่านใดที่สนใจและมีความชื่นชอบทีมฟุตบอลของจังหวัดบุรีรัมย์สามารถซื้อเป็นของที่ระลึกได้ครับ หลังจากนั้นเราก็จะ Check in เข้าที่พักกันเลย ที่พักที่เราเลือกในครั้งนี้เพื่อให้ได้บรรยากาศของปราสาทยุคที่สองเราจะเลือกโรงแรม Amari Buriram โรงแรมนี้อยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับสนามฟุตบอล Thunder Castle เพียงเดินไปไม่ถึง 500 เมตรจากสนามฟุตบอลก็จะถึงแล้วครับ
![]()
ด้านหน้าของโรงแรม Amari Buriram
![]()
บรรยากาศภายในโรงแรม มีสระว่ายน้ำอำนวยความสะดวกให้กับผู้เข้าพัก
![]()
ตัวอย่างห้องพัก ที่ถูกตกแต่งให้เป็นแนวเดียวกับสนามกีฬา
![]()
ห้องอาหารด้านในของโรงแรม
![]()
ห้องอาหารบริเวณด้านนอกของโรงแรม
เข้า check in และพักผ่อนตามอัธยาศัยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขอพาท่านไปรับประทานอาหารกลางเย็นที่ร้านอาหาร บ้านชายน้ำ ซึ่งบรรยากาศค่อนข้างดีและอาหารอร่อยขึ้นชื่อของ จ.บุรีรัมย์
![]()
ร้านอาหารบ้านชายน้ำ จ.บุรีรัมย์
![]()
บรรยากาศร้านอาหารบ้านชายน้ำ
พักผ่อนหย่อนใจสำหรับคืนที่สองกับปราสาทยุคที่สอง และรับประทานอาหารเช้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ได้เวลาเดินทางข้ามไปอีกจังหวัดหนึ่งซึ่งเป็นจังหวัดพี่น้องกับบุรีรัมย์ ซึ่งได้สมยานามว่าเมืองแห่งช้าง จังหวัดสุรินทร์ และเช้าวันสุดท้ายนี้เราจะพาทุกท่านไปตะลุยบ้านช้างตากลางจังหวัดสุรินทร์หรือเรียกอย่างเป็นทางการว่าหมู่บ้านศูนย์คชศึกษา จ.สุรินทร์ เป็นหมู่บ้านช้างที่ใหญ่ที่สุดในโลก ระยะทางจากบุรีรัมย์ไปที่บ้านช้างนี้ประมาณ 70 กิโลเมตร ซึ่งเราจะใช้ทางหลวง 219 เพื่อตัดไปยังบ้านช้างนี้โดยที่ไม่ต้องผ่านตัวเมืองจังหวัดสุรินทร์เป็นการประหยัดระยะทางและเวลาไปได้เยอะครับ ซึ่งระหว่างทางยังสามารถมองเห็นทุ่งนาสีเขียวขจี หากใกล้ถึงหมู่บ้านก็ยังเห็นควาญช้างพาช้างออกมาเดินริมถนนครับเป็นภาพสุดประทับใจหากใครได้มาสัมผัสกับที่นี่
![]()
บรรยากาศสองฝั่งริมถนนก่อนถึงหมู่บ้านช้าง
เมื่อถึงหมู่บ้านช้างแล้วต้องซื้อบัตรเข้าชมภายในครับ มีทั้งกิจกรรมมากมาย หรือท่านใดต้องการไปชมหมู่บ้านช้างก็สามารถขับรถเข้าไปได้ แต่หากใครสนใจนั่งช้างชมหมู่บ้านสามารถติดต่อควาญช้างบริเวณด้านในได้เลย นั่งช้าง 1 ครั้งเพื่อเข้าไปชมหมู่บ้านใช้เวลาประมาณ 45 นาทีมีใช้จ่ายเล็กน้อยให้กับน้องช้างและควาญช้างที่นั่น
![]()
ด้านหน้าทางเข้าหมู่บ้านช้างศูนย์คชศึกษา
หมู่บ้านช้างตากลาง จ.สุรินทร์
![]()
ภาพควาญช้างที่อาศัยอยู่กับช้างของตนเองภายในหมู่บ้าน
เมื่อซื้อบัตรเข้าชมแล้วสามารถชมการแสดงช้างที่เป็นรอบๆให้ชมได้อีกด้วย จะมีด้วยกันสองรอบ รอบ 10.30 น. และรอบ 13.30 น. ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเวลาของนักท่องเที่ยวที่มาชม ในที่นี้เราจะแวะดูรอบแรกกันนั่นก็คือ 10.30 น. เราสามารถใกล้ชิดกับช้างโดยการให้อาหารช้างได้ด้วยในขณะที่ชมการแสดงช้าง
![]()
การแสดงช้าง สามารถมีส่วนร่วมให้อาหารช้างได้ด้วย
![]()
บรรยากาศบ้านเรือนของควาญช้างซึ่งแต่ละบ้านก็จะเป็นเจ้าของช้างอยู่ด้วย
![]()
ลักษณะของบ้านควาญช้างจะต้องมีพื้นที่ให้ช้างได้อยู่อาศัยด้วย
หลังจากชมการแสดงช้างเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เราก็จะเดินทางไปชมวิถีชีวิตชาวบ้านที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับช้างซึ่งอยู่บริเวณส่วนชั้นในของหมู่บ้านสามารถขับรถเข้าไปได้หรือจะนั่งช้างชมได้เช่นกันแต่แนะนำให้พกร่มหรือหมวกไปด้วยเพราะอากาศค่อนข้างร้อนในวันที่มีแดด และที่จะพาไปชมเป็นสถานที่สุดของทริปนี้ที่จะพาไปซึ่งเป็น Unseen Thailand ก็คือ สุสานช้างที่ใหญ่ที่สุดและมีแห่งเดียวในประเทศไทย ซึ่งอยู่ด้านในสุดของหมู่บ้าน
![]()
สุสานช้างทีใหญ่ที่สุดและแห่งเดียวในประเทศไทย
ซึ่งควาญช้างได้บอกว่าเราไม่สามารถนำร่างของช้างที่ล้มมาได้เนื่องจากมีขนาดใหญ่มาก จึงต้องฝังไว้ที่บริเวณที่ล้ม และนำกระดูกบางส่วนมาฝังไว้ที่สุสานแห่งนี้นั่นเอง
![]()
ภายในสุสานช้างที่ถูกเรียงเป็นระเบียบอย่างสวยงาม แต่ก็น่าหดหู่เช่นกัน
เที่ยวในหมู่บ้านกันอย่างเต็มอิ่มแล้ว ก่อนจะเดินทางไปรับประทานอาหารกลางวันก่อนเดินทางกลับกรุงเทพฯ โดยนกยักษ์กันอีกครั้ง สามารถซื้อของที่ระลึกของฝากด้านหน้าของหมู่บ้านช้างได้
![]()
ของที่ระลึกที่เป็นเอกลักษณ์ของหมู่บ้านช้างเป็นรูปช้าง
ออกเดินทางไปรับประทานอาหารกลางวัน ณ ร้านอาหารใกล้ๆกับหมู่บ้านช้าง ที่แนะนำกับก็คือร้านอาหาร ครัวมณีวันซึ่งออกจากหมู่บ้านช้างประมาณ 2 กิโลกเมตรเท่านั้น หลังจากรับประทานอาหารและเที่ยวกันอย่างเต็มอิ่มแล้ว เราก็จะออกเดินทางเพื่อไปยังสนามบินบุรีรัมย์เพื่อเดินทางกลับสู่กรุงเทพมหานครในรอบเที่ยวบินช่วงบ่ายครับ
ประเทศไทยมีอะไรให้เที่ยวอีกมากมาย นี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งของประเทศไทยที่มีสถานที่ท่องเที่ยวที่หลายๆคนรู้จักกันในแค่ชื่อและความยิ่งใหญ่เพียงในนาม แต่ถ้ามาสัมผัสกับของจริงแล้วบอกได้เลยว่ายิ่งใหญ่กว่าที่เคยได้ยินแน่นอนครับ ทั้งสิ่งก่อสร้างยุคเก่าและสิ่งก่อสร้างที่เป็นยุคใหม่ จ.บุรีรัมย์ นอกจากจะได้สัมผัสกับประวัติศาสตร์อันเก่าแก่ของปราสาทยุคเก่าและความอลังการของปราสาทยุคใหม่ ยังได้ไปสัมผัสธรรมชาติและความเป็นอยู่ของชุมชนที่อาศัยอยู่ร่วมกันกับช้าง สัตว์คู่บ้านคู่เมืองของไทยมาตั้งแต่ในอดีตเป็นการเที่ยวที่ได้ครบรส ครั้งหน้าจะพาท่านไปเที่ยวเก็บเกี่ยวความรู้และสัมผัสกับสิ่งใหม่ๆอีกที่ไหนอย่าลืมติดตามกันนะครับ